0





http://www.oknation.net/blog/print.php?id=21583
http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=00e94bad26b979e5

ชีวะประวัติเช กูวารา



Ernesto Rafael Guevara de la Serna 
Ernesto Che Guevara (เช กูวารา) เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 1928 (ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า เขาเกิดในเดือนมิถุนายน แต่จริง ๆ แล้วมารดาของเขา ต้องการปกปิดว่าเธอตั้งครรภ์ก่อนแต่งราว สามเดือนจึงให้แพทย์ลงในใบเกิดว่าคลอดเดือนมิถุนายน เพราะการคลอดก่อนกำหนดเจ็ดเดือน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้) ที่เมือง โรซาริโอ (Rosario) อำเภอเล็ก ๆ ของกรุงบัวโนส ไอเรส (Buenos Aires) ประเทศอาร์เจนตินา ครอบครับของเขาเป็นชนชั้นกลาง เป็นบุตรของ Ernesto Guevara Lynch และ Celia de la Serna Llosa มีพี่น้องทั้งหมด คน และErnesto เป็นพี่คนโต

บิดาเป็นนักธุรกิจที่มีปัญหาเรื่องการเงิน อยู่เสมอ แต่ก็สามารถ ประคับประคองครอบครัวให้มีความสุขตลอดมา
ในวัยเด็ก Ernesto เกิดและโตอยู่ท่ามกลางเรื่องราวความแตกต่างของชนชั้นทางสังคมมาตลอด สายเลือดแห่งความเป็นนักสังคม และการมีบุคลิกที่เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้คนยอมรับภาวะการ เป็นผู้นำของเขา ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดามารดานั่นเอง


หนูน้อย Ernesto เริ่มเป็น โรคหอบหืด (Asthma) ตอนเอายุได้เพียงสองขวบเท่านั้น และโรคนี้ก็กลายเป็นโรคประจำตัว ของเขาไปตลอดชีวิต โรคหอบหืด เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของErnesto ในเวลาต่อมา เนื่องจาก เมื่อโตขึ้น เขาตั้งใจว่าจะเรียนวิชาแพทย์เพื่อหาทางรักษามันให้หายให้ได้ 


ปี
1947 Ernesto เข้าเรียนคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัย Universidad Nacional de Cordoba โดยเน้นวิชาการด้านผิวหนัง (Lepraleiden (โรคเรื้อน)) ครอบครัวของเขา ตัดสินใจย้ายบ้านไปอยู่ที่เมือง Alta Gracia ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง Cordoba เมืองที่เขาเรียนอยู่ ทั้งนี้เพราะที่เมืองนี้ มีอากาศที่เหมาะสมและดีต่อสุขภาพของ Ernesto 

ในช่วงของการเรียนมหาวิทยาลัย Ernesto พยายามเล่นกีฬาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ลัคบี้ เบสบอล ปีนเขา และอื่น ๆ โดยหวังจะเอาชนะโรคหอบหืด แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหนึ่งในช่วงปี
1951 เขาตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวระยะยาวร่วมกับเพื่อนชื่อ อัลแบร์โต กรานาโด (Alberto Granado) ไปทั่วอเมริกาใต้ด้วยรถมอร์เตอร์ไซด์ (Motorradreise) 
(บันทึกการเดินทางของเขา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 
"The Motorcycle Diaries"และการเดินทางครั้งนี้นอกจากทำให้เขาโด่งดังไปทั่วแล้ว ยังเป็นการเดินทางที่มีผลต่อแนวคิดครั้งยิ่งใหญ่ จนเขากลายเป็นนักปฏิวัติ ผู้ตั้งใจอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเพื่อคนชั้นล่างของสังคมในเวลาต่อมาด้วย
ในช่วงที่เดินทางผ่านประเทศ โบลิเวียชิลีเวเนซูเอลา รวมทั้งการทำงานเป็นแพทย์อาสา ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่เปรู ทำให้ Ernesto ได้เห็นภาพความยากจนของชาวบ้านที่โดน กดขี่จากนักการเมือง และนักธุรกิจ ในท่ามกลางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของประเทศอย่างมาก หนุ่มน้อย Ernesto จึงหันมาสนใจการเมืองในอเมริกาใต้อย่างจริงจัง แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่ง คือ มาร์กซิสต์ (Marxismus) อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้ว แนวคิดมาร์กซิสต์นี้ Ernesto ศึกษามาก่อนหน้าที่เขาจะท่องเที่ยวแล้ว ด้วยเขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ รวมทั้งสนใจศึกษาปรัชญา การเมืองการปกครอง มาแต่สมัยเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองการปกครองของประเทศอาร์เจนตินา บ้านเกิดของเขาเอง ภายใต้การนำของผู้นำที่เขาเกลียด Juan Domingo Peron เพราะคอยกดขี่ประชาชน อยู่เเสมอ

ภาพการถูกกดขี่ข่มเหงของประชาชนในอเมริกาใต้โดยทั่วไป ได้กลายเป็นสิ่งบ่มเพาะจิตสำนึก จนทำให้ Ernesto ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปลดปล่อยสภาพแบบนั้น ให้กับประชาชนชาวอเมริกาใต้ และคิดได้ว่า การทำงานเป็นแพทย์แต่เพียงอย่างเดียว คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลง หรือผลักดันให้เกิดภาพที่เขาอยากเห็นเหล่านั้นได้ ดังนั้น ปี 
1953 หลังเรียนจบที่คณะแพทย์ ในขณะที่ Granado เพื่อเก่าที่เคยเดินทางด้วยกัน ย้ายไปทำงานที่เวเนซูเอล่า Ernesto กลับเดินทางไปประเทศกัวเตมาลา เพื่อเข้าร่วมกับคณะรัฐประหาร ที่ต่อต้านJacobo Arbenz Guzmán ในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศสหรัฐอเมริกา และที่นี่เองที่เขาพบรักกับ Hilda Gadea Acosta หญิงชาวเปรูที่ลี้ภัยการเมือง

แม้จะเป็นเพียงแพทย์ในกลุ่ม แต่ด้วยประสบการณ์ และความทรงจำในกัวเตมาลา ผลักดันให้
Ernesto เดินทางต่อไปยังประเทศเม็กซิโก และได้แต่งงานกับ Hilda ที่นั่น และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1956 เขาก็ได้ลูกสาวคนแรกชื่อ Hildita

เม็กซิโก คือสถานที่สำคัญในการพลิกชีวิตของเขาอีกครั้งเมื่อ Ernesto ได้พบกับ 
ฟิเดล คาสโตร (Fidel Casto) นักปฎิวัติหนุ่มชาวคิวบา (ผู้นำประเทศคิวบาคนปัจจุบัน) เป็นครั้งแรก ในช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 1955 ซึ่งในขณะนั้น ฟิเดล คาสโตร ผู้นำกลุ่ม Moncadistas เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อลี้ภัยทางการเมือง ภายหลังที่เขาพึ่งพ้นโทษ ในข้อหาหัวหน้ากบฎจากปฏิบัติการโค่นล้มอำนาจประธานาธิบดีบาติสตา รัฐบาลผู้กุมอำนาจ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด และกดขี่ชาวคิวบาอย่างแสนสาหัส เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม1953 

คาสโตร รวบรวมสมัครพรรคพวกใหม่ รวมทั้งแอบฝึกกองกำลังติดอาวุธกับเพื่อนที่ลี้ภัยทางการเมือง ชาวคิวบา ผู้ร่วมปฎิบัติการวันที่ 26 กรกฎาคม (M-26-7) มาด้วยกัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกลับไปปฏิวัติ นำประชาธิปไตยสู่ประเทศคิวบาอีกครั้ง โดยเน้นการรบแบบสงครามกองโจรเป็นหลัก Ernesto เข้าร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย ในการร่วมกับกลุ่มครั้งแรก Ernesto ทำหน้าที่เป็นหน่วยแพทย์ โดยมีชื่อสมาชิกว่า
Che (เป็นคำเรียก เพื่อนสนิท เพื่อนตาย ภาษาอาร์เจนตินา หรือ อาจใช้เป็นคำทักทายกัน ทำนองเดียวกับ Hey ก็ได้ เหตุที่ Ernesto ได้รับชื่อ Che นี้ ก็เพราะตัวเขาเองมักทักทายเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า Hey เสมอ ๆ)
วันที่ 25 พฤศจิกายน 
1956 กลุ่มคณะปฏิวัติรวมทั้งสิ้น 82 คน ออกเดินทางด้วยเรือยนตร์ขนาดเล็ก ชื่อ Granma จากเมือง Tuxpan ประเทศเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่ประเทศคิวบา แต่เนื่องจากวันเดินทาง เป็นคืนเดือนมืด และต้องแรมเรืออยู่ในทะเลราวเจ็ดคืน จึงขึ้นฝั่งที่คิวบาได้เมื่อวันที่ ธันวาคม 1956 และเพราะโดนคลื่นลมพัดพา จนลูกเรือหลายคนเมาคลื่น รวมทั้งทำให้ขึ้นฝั่งผิดเป้าหมาย ที่วางแผนกันไว้ เป็นผลทำให้กองกำลังปฏิวัติถูกโจมตีโดยกองทัพของประธานาธิบดีบาติสตา จนแตกพ่ายที่เทือกเขาในเขตเมือง Sierra Maestra เหลือกำลังพลเพียง 12 คน เท่านั้น และหนึ่งในนั้นก็คือ Che Guevara
ในปฏิบัติการรบด้วยวิธีแบบกองโจรนี้เอง ที่ทำให้ Che ต้องเปลี่ยนตำแหน่งของเขาอย่างรวดเร็ว จากการทำหน้าที่แพทย์ ก็ค่อย ๆ กลายเป็นนักรบที่ต้องจับอาวุธขึ้นต่อสู่โดยตรง และด้วยการปฏิบัติการที่เด็ดขาดแน่วแน่ รวมทั้งไหวพริบปฏิพานที่ได้รับการฝึกฝนทำให้ Che กลายเป็นทหารที่มีความสำคัญต่อกลุ่มในไม่ช้า และหลังจากที่หน้าที่ของ
กองกำลังแรกซึ่งเป็นกองเริ่มต้น ภายใต้การบังคับบัญชาของ ฟิเดล คาสโตร (Comandante en Jefe) สิ้นสุดลงในปลายปี 1956 Che ก็ได้ยกฐานะขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้บังคับการ กองกำลังทหารปฏิวัติช่วงที่สอง (Comandante der Rebellenarmee) ซึ่งเป็นหนึ่ง จากทั้งหมด ช่วงในการปฏิวัติครั้งนั้น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 
1957 นอกจากนั้นเขายังได้รับความไว้วางใจให้เป็น ผู้บัญชาการของกลุ่ม II Kolonne ด้วย 



นักรบกองโจร คือ คนที่เสมือนผู้นำทาง เขาจะต้องช่วยคนจนเสมอ เขาจะต้องมีความรู้พิเศษทางเทคนิค มีวัฒนธรรมและศีลธรรมสูง มีความอดทนยิ่งต่อความทุกข์ทรมาน และความยากลำบาก และมีความสำนึกทางการเมืองสูงด้วย"

Che (Guevara) ผู้เชื่อมั่นในวิธีการต่อสู้ด้วยสงครามกองโจร เคยกล่าวไว้ 

หลังจากกลุ่มของเขา ต่อสู้แบบกองโจรได้ราวสองปี แม้จะต้องแตกพ่ายในช่วงแรก แต่ในที่สุดที่เมือง Santa Clara (ซานตาครูส) วันที่ มกราคม 
1959 กองกำลังก็สามารถเข้ายึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จจากประธานาธิบดีบาติสตา ซึ่งสุดท้ายก็แอบหลบหนีออกจากคิวบาไป




แม้ก่อนหน้าที่จะยึดอำนาจ ได้สำเร็จกลุ่มของคาสโต จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะกับนายทุนอเมริกัน ผู้คาดหวังชัยชนะของคาสโตรจะทำให้มีโอกาสกอบโกยในคิวบา แต่คาสโตก็ขอรับการ สนับสนุนการปฏิวัติจากสหภาพโซเวียตด้วยในเวลาเดียวกัน และหลังจากการปฎิวัติสำเร็จลง คาสโตร เลือกที่จะยืนอยู่ตรงกันข้ามกับสหรัฐ นั่นหมายถึง เลือกอยู่ข้างค่ายโลกคอมมิวนิสต์แทน
Che ได้รับสัญชาติเป็นชาวคิวบา ในปี 1959 เพื่อเป็นการขอบคุณเขาในฐานะเป็นผู้ร่วมโค่นล้ม บาติสตา ลงได้ และนอกจาก ฟิเดล คาสโตร หลุย์ คาสโตรคามิโล คีนฟูโก แล้ว Che ก็มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลใหม่แห่งคิวบาด้วย ทั้งนี้เพื่อร่วมกันดำเนินการปฏิรูปประเทศใน ส่วนสำคัญ ๆ อย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตามในรัฐบาลสังคมนิยมชุดนี้ แนวทางคอมมิวนิสต์ยังคงมีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Che และเข้มแข็งมากกว่าแนวปฏิบัตินิยม และการเมืองนิยมของคาสโตร จุดสูงสุดทางตำแหน่งทาง การเมืองของ Che คือ ช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจ และเป็นผู้อำนวยการ ธนาคารแห่งชาติของคิวบา ราวต้นปี

"ผมไม่ได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้ภรรยาและลูกๆ ของผม แต่ผมก็ไม่เสียใจ กลับรู้สึกมีความสุขที่มันเป็นไปอย่างนี้" (จดหมายลาถึงคาสโตร)

ครั้งนั้นเองที่แสดงให้เห็นว่า แม้ Che Cuevara จะได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในประเทศคิวบา เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกแล้วก็ตาม แต่ด้วยวิญญาณแห่งการปฏิวัติที่ไม่เคยมอดไหม้ ประกอบกับความตั้งใจแน่วแน่ของเขาที่จะช่วยประชาชนชาวอเมริกาใต้ให้หลุดพ้นจากการ
กดขี่ข่มเหงโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ หรือสัญชาติ ยศฐาบรรดาศักดิ์ทั้งหลายก็ไม่อาจทำลายแนวคิดเหล่านั้นได้

อย่างไรก็ตาม มีผู้กล่าวว่า หนึ่งในหลายเหตุผลที่ Che ตัดสินใจกลับเข้าป่าปฏิวัติอีกครั้ง ทั้งที่อายุย่างเข้าวัยกลางคน และมีโรคหืดหอบประจำตัว ก็คือ ความไม่สมหวังในการสร้างคิวบา Cheชิงชังความเห็นแก่ตัว และการให้ความช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ที่โซเวียต และประเทศยุโรปตะวันออกในยุค ครุสชอพ มอบให้แก่ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย Che จึงลอกคราบการเป็นนักบริหาร และนักการฑูตของคิวบาซึ่งตัวเขาเป็นมาหลายปีออกแบบไม่ไยดี หันกลับไปสู่ป่าเพื่อการปฏิวัติโดยไม่ได้หยุดหย่อน ในประเทศอื่น ๆ ที่ยังตกอยู่ภายใต้ ลัทธิจักวรรดินิยม และเตรียมพร้อมที่จะใช้ชีวิต และความรู้สึกเยี่ยงมนุษย์ที่ยากจน ที่สุดอีกครั้งหนึ่ง



Che พร้อมเพื่อน ๆ อีกจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมสงครามปฏิวัติที่ คองโก ในทวีปแอฟริกา ในปี 1965 แต่ก็ล้มเหลว จากนั้นปี
1966 เขาจึงเดินทางเข้าไปยังประเทศโบลิเวีย เพื่อร่วมกับกลุ่มกบฏโบลิเวีย ทำสงครามปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการโบลิเวียในสมัยนั้น กลุ่มนักรบของ Che ราว 44 คน พยายามนำยุทธวิธีกองโจร ที่ใช้ได้ผลมาแล้วสมัยสู้รบกับคาสโตครั้งปฏิวัติคิวบา มาใช้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยความแตกต่างกันทั้งพื้นที่ และลักษณะแนวคิดพื้นฐานของชาวโบลิเวีย ที่แตกต่าง
จากชาวคิวบา ทำให้วิธีการของเขาใช้ไม่ค่อยได้ผล แม้ในด้านหนึ่งชาวบ้านโบลิเวียจะเห็นด้วย และชื่นชมกลุ่มของเขา แต่มีชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะหักหลังกลุ่ม พวกเขาเช่นกัน

กองกำลังปฏิวัติของ Che โดนตีแตกกระจาย หัวหน้ากลุ่มที่แตกไป ถูกฆ่าตายตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 
1967 ส่วน Che และพวกที่เหลืออีกเพียง 14 คน โดนยิงบาดเจ็บ และถูกจับได้ในเดือนตุลาคม 1967 ที่ La Higuera เขตพื้นที่เล็ก ๆ ในเทือกเขา Cordillera ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของโบลิเวีย โดยกองกำลังทหารของรัฐบาลโบลิเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐอเมริกา Che ถูกจองจำไว้ที่ La Higuera โดยมีเจ้าหน้าที่ของ CIA และ Felix Rodríguez ผู้ลี้ภัยชาวคิวบา ทำหน้าที่สอบปากคำในฐานะเชลยศึก
และไม่มีการพิพากษาใด ๆ ในชั้นศาล Che ถูกสั่งฆ่าด้วยการยิงเป้า เมื่อ
วันที่ ตุลาคม 1967 เวลา 13.10 น. จบชีวิตนักปฏิวัติที่มุ่งมั่น ด้วยวัยเพียง 39 ปี เท่านั้น 
ภายหลังการถูกฆาตรกรรม ร่างของ Che ถูกทำให้ไร้ร่องรอย มือทั้งสองข้างของเขาถูกตัด เพื่อปิดช่องทางการพิสูจน์ตัวตน ร่างของเขาถูกนำไปฝังในสถานที่ลับห่างจากเมือง Vallegrande ราว30 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ ในโบลิเวีย (และห่างจากซานตาครูซ ประเทศคิวบาราว 125 กิโลเมตร) แต่ในที่สุดโครงกระดูกของ Che ก็ถูกค้นพบเมื่อปี 
1997 โดยนักวิทยาศาสตร์ในโบลิเวียเป็นผู้พิสูจน์ ว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของ Che Guevara จริง

กระดูกของเขาถูกส่งกลับไปยังเมืองซานตาครูส ประเทศคิวบา สถานที่ที่เขาเป็นวีรบุรุษผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร เมื่อปี 1958 เพื่อล้มรัฐบาลกดขี่ของบาติสตา คิวบาเก็บโครงกระดูกของ Che ว้ที่
Mausoleum หลุมฝังศพอันทรงเกียรติ ในซานตาครูซ และที่นั่นเอง (รวมทั้งอีกหลาย ๆ แห่งทั่วประเทศคิวบา) ชาวคิวบาได้สร้างอนุเสารีย์ Ernesto Che Guevara ในรูปที่พวกเขาคุ้นเคย คือ มือหนึ่งถือปืน ส่วนแขนข้างซ้ายเข้าเฝือกไว้ ขึ้นเป็นตัวแทนแห่งวีรบุรุษนักปฏิวัติ ที่ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยชนชั้นล่างของสังคมจากการกดขี่ข่มเหงของนายทุนใน ลัทธิจักวรรดินิยม

และมีพิพิธภัณฑ์ Che Guevara แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติชีวิต และการต่อสู้ของ Che เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วย

แสดงความคิดเห็น

 
Top