วันนี้ผมอยากจะลองมาเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับ middle earth ว่าด้วยอัญมณีในตำนานของโทลคีน·
ที่มีตัวละครจากแดนนิยายแฟนตาซีสำหรับเด็ก ประพันธ์โดยเจ. อาร์. อาร์. โทลคีน อันได้แก่
เดอะฮอบบิท · เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ตำนานแห่งซิลมาริล และ ตำนานบุตรแห่งฮูริน
ว่าในเรื่องแห่งมัชฌิมโลกเหตุใดถึงต้องมาสนใจแหวนแห่งอำนาจหรือว่าแสงแห่งซิลมาริล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นำมาทำเป็นจอเงินเรื่องล่าสุดอย่าง เดอะฮอบบิท เองก็มีเรื่องของเพชรที่ชื่อว่า อาร์เคนสโตน ที่ทำไมพวก Elfแห่งเมิร์ควู้ดที่จงเกลียดคนแคระจึงได้มาส่งของกำนันให้กับกษัตริย์แห่งคนแคระด้วยตนเองในครั้งที่อาร์เคนสโตนยังไม่ถูกมังกรสม๊อกนอนทับไม่มีใครอื่น กษัตริย์ธรันดูอิลแห่งเหล่าเอลฟ์ป่าเองก็เป็นผู้ที่มีความหลังกับคนแคระตั้งแต่ยุคที่ 5,000 ปี ก่อนภาคแหวนแห่งอำนาจไม่พูดมากแล้วครับ มาพูดถึงที่มาของ ธรันดูอิลกันก่อนดีกว่าครับ
ธรันดูอิลเป็นเอลฟ์ซินดาร์ เป็นโอรสของโอโรแฟร์ และเป็นบิดาของ Legolas ในยุคที่ 1 ธรันดูอิลและโอโรแฟร์อาศัยอยู่ในอาณาจักรโดริอัธ อันเป็นอาณาจักรเอลฟ์บนแผ่นดินเบเลริแอนด์ ทางตะวันตกของมิดเดิ้ลเอิร์ธ ภายหลังเมื่อธิงโกลได้ซิลมาริลมาครอง แล้วได้จ้างคนแคระให้ทำเครื่องประดับโดยเอาซิลมาริลไปประดับไว้ แล้วโดนเหล่าคนแคระฆ่าตายแล้วชิงซิลมาริลไป เทพีเมลิอันกลับคืนร่างกลายเป็นเทพีไมอาแล้วทิ้งโดริอัธไปทำให้อาณาจักรล่มสลาย ธรันดูอิลจึงจงเกลียดจงชังเหล่าคนแคระ
เพราะพวกเอลฟ์กับคนแคระนั้นเป็นปฏิปักษ์กันมาตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะเอลฟ์ชาวซินดาร์ซึ่งพวกคนแคระเคยยกทัพไปโจมตีอาณาจักรโดริอัธเพื่อชิงซิลมาริล
(ส่วนเรื่องของธรันดูที่มากกว่านี้คงต้องอ่านเรื่องในตำนานแห่งซิลมาริล)
มาเข้าเรื่องของเรากันเลยดีกว่าด้วยอัญมณีในตำนานตัวแรก Arkenstone
The Arkenstone, set on King Thror's throne in Erebor
อาร์เคนสโตน (Arkenstone) หรืออีกชื่อหนื่งคือหัวใจแห่งขุนเขา "Heart of the Mountain"
เป็นชื่อเพชรดวงหนึ่งในปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธ ของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏในเรื่อง เดอะฮอบบิท โดยเป็นเพชรดวงใหญ่มาก พบที่ใต้ภูเขาโลนลี่ แห่งอาณาจักรเอเรบอร์ โดยธราอินกษัตริย์ของคนแคระ และได้กลายเป็นมรดกประจำตระกูล สืบทอดต่อมาในสายวงศ์ของดูริน เพชรนี้สูญหายไปเมื่อคราวที่มังกรสม็อก บุกโจมตีอาณาจักรเอเรบอร์และยึดเอาทรัพย์สมบัติของพวกคนแคระไปจนหมด
ในเรื่อง เดอะฮอบบิท เมื่อธอริน กษัตริย์คนแคระและพวก ยึดเอเรบอร์คืนมาได้ บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ฮอบบิทที่ร่วมเดินทางไปในภารกิจคราวนั้นในตำแหน่ง "หัวขโมย" กลับขโมยเพชรอาร์เคนสโตนเสียเอง แล้วนำไปให้กษัตริย์เอลฟ์ใช้เป็นเครื่องต่อรองกับธอริน ทำให้ธอรินโกรธมาก อย่างไรก็ดีในภายหลังทั้งหมดสามารถปรับความเข้าใจกันได้ ธอรินเสียชีวิตหลังสงครามห้าทัพ คนแคระนำเพชรนี้ฝังไว้ในหลุมศพข้างกายของธอรินด้วย
http://lotr.wikia.com/wiki/Arkenstone
แล้วจะมาเพิ่มเนื้อเรื่องอีกในครั้งหลังครับอยู่ในช่วงเริ่มเขียน
อาณาจักรคนแคระ
าณาจักรคนแคระ อ
ด้วยความหยิ่งในอำนาจของเหล่าคนแคระหลังจากที่ได้ Arkenstone ทำให้ธรันดูอิลยิ้งเกิดความแค่นอย่างที่เราเห็นในหนังตามที่เราได้ชม
คำอธิบายเอาเป็นภาษาอังกฤษก่อนแล้วถ้าผมอยากจะแปลผมจะมาแปล
Thranduil pays homage to the Heart of the Mountain in the Dwarf Kingdom of Erebor.
Extended clip from The Hobbit: An Unexpected Journey
Explanation:
In the First Age, the Elven King Thingol, summoned the Dwarves of Belegost to create him jewellery from the treasure from Nargothrond. The greatest of these works was the Nauglamir.
Thingol treasured it above all else but the Silmaril of Beren and Luthien. When the smiths from Belegost completed their work, Thingol then summoned the Dwarves of Nogrod to set the Silmaril in the Nauglamir. The Nauglamir, now bearing the Silmaril was the most beautiful object in Middle-earth.
The dwarves were captivated by it's beauty and greedy for the Silmaril, so they demanded the Nauglamir as payment for their work. Thingol was unwilling to hand over the necklace, and sent the Dwarves away without payment. In their anger, the Dwarves slew Thingol and went back to their city where they told a much different story, which persuaded the King of Nogrod to march upon Doriath and sack the city. They took the Silmaril and other treasures from Doriath, but they were slain on their way back to Nogrod by Green Elves and Ents, led by Beren. They retook the Silmaril.
These events are what Bilbo is referring to. Also, these events are what caused much of the strife between the Dwarves and Elves.
มาดูอีกหนึ่งสิ่งที่ครอบครองทุกสิ่งกันครับ มันก็คือ One Ring หรือ แหวนเอกธำมรงค์
แหวนเอก แหวนประมุข แหวนแห่งอำนาจ หรือ ยมทูตแห่งอิซิลดูร์
ผู้สร้างแหวนนี้คือ เซารอน ผู้เป็นจอมมาร สร้างขึ้นในยุคที่สอง โดยใส่พลังของตัวเองลงไปด้วย เป็นแหวนที่มีอำนาจมากที่สุดในแหวนแห่งอำนาจ หลังจากสงครามที่เซารอนพ่ายแพ้ครั้งแรก แหวนตกไปอยู่ในมือของอิซิลดูร์, กอลลัม, บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ ก่อนที่โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ ผู้ถือแหวนคนสุดท้ายจะนำแหวนไปทำลายที่ภูเขามรณะ(แต่แท้จริงๆแล้วแซมไวส์ แกมจีเป็นผู้ถือแหวนคนสุดท้ายแต่อยู่ในระยะสั้นที่สุด เพราะหลังจากที่เข้าใจผิดว่าโฟรโดถูกแมงมุมยักษ์ชีล็อบฆ่าตาย แซมได้เอาแหวนเอกไปเพื่อไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของเซารอน ต่อมาเมื่อช่วยโฟรโดแล้วก็เอาแหวนเอกมาคืนให้แก่โฟรโดตามเดิม)
จารึกบนแหวน
แหวนเอกธำมรงค์มีลักษณะเป็นแหวนทองเกลี้ยง มีอักขระเทงกวาร์ของพวกเอลฟ์จารึกไว้ในภาษาแบล็กสปีช อ่านได้ดังนี้
- Ash nazg durbatulûk, ash nazg gimbatul, ash nazg thrakatulûk, agh burzum-ishi krimpatul.
ความหมายของคำจารึกข้างต้นคือ
- One Ring to rule them all, One Ring to find them, One Ring to bring them all and in the darkness bind them.
- (วงเดียวเพื่อครองพิภพ วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญาณ์ พันธนาไว้ในความมืดมน) [1]
คำจารึกนี้เป็นส่วนหนึ่งของบทกลอนโบราณของพวกเอลฟ์ ซึ่งมีเนื้อความเต็มคือ
- แหวนสามวงแด่กษัตริย์พรายใต้แผ่นฟ้า
- เจ็ดวงแด่เจ้าชาวแคระในท้องพระโรงศิลา
- เก้าวงนั้นหนาแด่มนุษย์ผู้ไร้นิรันดร์
- วงเดียวแด่เจ้าแห่งอสูรผู้ครองบัลลังก์ดำ
- ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์
- วงเดียวเพื่อครองพิภพ วงเดียวเพื่อค้นพบจบหล้า
- วงเดียวเพื่อสาปสิ้นทุกวิญญาณ์ พันธนาไว้ในความมืดมน
- ในแดนมรณะแห่งมอร์ดอร์
- http://en.wikipedia.org/wiki/One_Ring
ลำดับของผู้ครอบครองแหวนเอก
Order | Name of Holder | Since | Until | Duration |
---|---|---|---|---|
1st | Sauron | About SA 1600, when it was forged | SA 3441 | about 1850 years |
2nd | Isildur | SA 3441, after the defeat of Sauron, which is equivalent to TA 1 | October 5, TA 2 | about 2 years |
--- | the ring was lost in theAnduin | October 5, TA 2 | TA 2463 | 2461 years |
3rd | Déagol | Unknown date, TA 2463 | The same day, TA 2463 | A few minutes |
4th | Gollum (Smeagol) | TA 2463 | July, TA 2941 | 478 years |
5th | Bilbo Baggins | July, TA 2941 | September 22, TA 3001 | 60 years |
6th | Frodo Baggins | September 22, TA 3001 | March 14, TA 3019 | About 17 years, 6 months |
7th | Gandalf | TA 3018 | TA 3018 | A few seconds |
8th | Tom Bombadil | September 26, TA 3018 | September 26, TA 3018 | A few minutes |
9th | Samwise Gamgee | March 14, TA 3019 | March 15, TA 3019 | 1 day |
--- | Frodo Baggins | March 15, TA 3019 | March 25, TA 3019 | 10 days |
--- | Gollum (Smeagol) | March 25, TA 3019 | March 25, TA 3019 | A few seconds |
ซิลมาริล
ในตำนานที่เขียนโดย เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน ซิลมาริล (Silmaril) (มาจากภาษาเควนยา ว่า ซิลมาริลลิ) เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในจินตนิยาย ประกอบด้วยอัญมณีสามชิ้นที่สุกสว่างดังดวงดาว ภายในบรรจุแสงอันบริสุทธิ์ของ ทวิพฤกษา ซิลมาริลทำมาจากวัสดุใสดังผลึกคริสตัลที่เรียกว่า ซิลิมา ประดิษฐ์โดย เฟอานอร์ เอลฟ์ชาวโนลดอร์ ในวาลินอร์ ในช่วงยุคแห่งพฤกษา
งานเขียนชุด ซิลมาริลลิออน ของโทลคีน มีหัวใจหลักของเรื่องเกี่ยวข้องกับดวงมณีซิลมาริลนี้เอง ว่าด้วยเรื่องราวของผู้สร้าง การถูกช่วงชิง และการแก้แค้น ตลอดจนชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ภาพลักษณ์
ซิลมาริลมิใช่เพียงอัญมณีธรรมดาที่ส่องแสงเจิดจ้าเท่านั้น แต่ซิลมาริลทั้งสามประหนึ่งว่ามีชีวิต และมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ วิธีที่ เฟอานอร์ ผู้เป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่มเอลดาร์ สามารถสร้างมันขึ้นมาไม่ได้อธิบายไว้ชัดเจน แม้กระทั่งวาลาร์รวมทั้ง อาวเล ยังไม่สามารถสร้างเลียนแบบได้ อันที่จริงแล้ว แม้ตัวเฟอานอร์เองก็ยังไม่สามารถสร้างมันขึ้นใหม่ได้ เพราะหัวใจในการสร้างได้ผสานเข้าไปในตัวซิลมาริลด้วย
ในจักรวาลของโทลคีน ซิลมาริลมีค่ามหาศาลดังอนันต์แม้แต่สำหรับเหล่าวาลาร์ เพราะมันมีเพียงหนึ่งเดียวและไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยสิ่งใด
รูปของทวิพฤกษา
เฟอานอร์ โอรสแห่งฟินเว ซึ่งเป็นชาวเอลดาร์ สร้างซิลมาริลขึ้นโดยบรรจุแสงของทวิพฤกษาเอาไว้ภายใน ซิลมาริลได้รับพรจากวาร์ดา ทำให้มันมิอาจถูกแตะต้องโดยปีศาจอันชั่วร้าย แต่จะเผาผู้บังอาจแตะต้องจนไหม้ไป มนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถแตะต้องซิลมาริลได้เท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์คือ เบเรน ดิออร์ลูกเบเรน(เกิดตอนลูธิเอนเป็นมนุษย์แล้ว)
วาลา เมลคอร์ ได้ร่วมมือกับนางแมงมุมอุงโกเลียนท์ทำลายทวิพฤกษา แสงอันบริสุทธิ์ของทวิพฤกษาจึงเหลืออยู่แต่เพียงในซิลมาริล ดังนั้น
วาลาร์จึงอ้อนวอนให้เฟอานอร์มอบซิลมาริลให้เพื่อที่พวกเขาจะได้ฟื้นฟูพฤกษาขึ้นใหม่ แต่เฟอานอร์ปฏิเสธ ขณะนั้นก็มีข่าวมาถึงว่า เมลคอร์ได้ฆ่าพ่อของเฟอานอร์ คือ ฟินเว ไฮคิงแห่งโนลดอร์ และขโมยซิลมาริลหนีไป เมลคอร์หนีไปจากวาลินอร์กลับไปยังที่มั่นเก่าของเขาทางตอนเหนือของมิดเดิ้ลเอิร์ธ คือ อังก์บันด์ แล้วเอาซิลมาริลประดับไว้บนมงกุฎของเขา
เฟอานอร์โกรธแค้นเมลคอร์ และขนานนามเขาว่า มอร์กอธ ซึ่งแปลว่า "ศัตรูมืดของโลก" รวมทั้งยังโกรธแค้นเหล่าวาลาร์เพราะคิดว่าพวกเทพเหล่านั้นพยายามจะเอาอัญมณีไป เฟอานอร์และบุตรของเขาได้กล่าวคำสาบานของเฟอานอร์ ซึ่งผูกมัดให้พวกเขาต้องต่อสู้กับทุกผู้คนที่คิดแย่งชิงซิลมาริล คำสาบานสยองขวัญนั้นนำมาสู่ปัญหามากมายในเวลาต่อมา ทั้งการสังหารหมู่และสงครามระหว่างเอลฟ์กับเอลฟ์ด้วยกันเอง
เฟอานอร์ได้นำชาวโนลดอร์จำนวนมากเดินทางไปยังมิดเดิลเอิร์ธ การเดินทางของเขาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นยุคที่หนึ่งของมิดเดิ้ลเอิร์ธ ได้นำมาซึ่งความเศร้าโศกไม่สิ้นสุดของเอลฟ์และมนุษย์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธ เกิดการสัประยุทธ์หลักห้าครั้งในแผ่นดินเบเลริอันด์ แต่ท้ายที่สุดชาวโนลดอร์และทุกคนที่กล่าวคำสาบานนั้นล้วนไม่ประสบผลสำเร็จในการนำซิลมาริลกลับมาจากมอร์กอธ
ซิลมาริลดวงหนึ่งถูกนำกลับมาโดย เบเรน และ ลูธิเอน ซึ่งต้องเสี่ยงภัยและผจญกับความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ ซิลมาริลดวงนั้นสืบต่อตกทอดมาถึงเออาเรนดิล ผู้นำซิลมาริลดวงนั้นถวายคืนแก่วาลาร์ในเวลาต่อมา ณ ดินแดนตะวันตกเพื่อเป็นของแสดงการขออภัยโทษ วาลาร์จึงได้นำซิลมาริลดวงนั้นไปเป็นดวงดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้า ส่วนซิลมาริลอีกสองดวงยังคงอยู่ในมือของมอร์กอธ จนกระทั่งมันถูกชิงคืนมาจากเขาเมื่อสิ้นสุดสงครามแห่งพระพิโรธ (War of Wraith) อย่างไรก็ตาม
หลังจากนั้นไม่นาน ซิลมาริลทั้งสองดวงก็ถูกขโมยไปโดยบุตรชายสองคนของเฟอานอร์คือ มายดรอส และ มากลอร์ เพราะพวกเขาพยายามที่จะทำตามคำสาบานที่ได้ให้ไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่อัญมณีได้แผดเผามือของทั้งสองเป็นการปฏิเสธสิทธิ์ในการถือครองเช่นเดียวกับที่อัญมณีได้แผดเผามือของมอร์กอธมาก่อน
ด้วยความทรมาน มายดรอสจึงกระโดดลงไปในหลุมไฟพร้อมกับซิลมาริลดวงหนึ่ง ส่วนมากลอร์ขว้างซิลมาริลอีกดวงหนึ่งลงในทะเล ดังนั้นซิลมาริลจึงได้สถิตย์อยู่ในองค์ประกอบทั้งสามของพิภพ คือ บนท้องฟ้า ในพื้นดิน และในมหาสมุทร
ตามคำพยากรณ์ของมานดอสที่กล่าวถึงการกลับมาครั้งสุดท้ายและความพ่ายแพ้ของเมลคอร์ใน ดากอร์ดากอรัธ (ยุทธภูมิแห่งยุทธภูมิ) นั้นโลกจะเปลี่ยนไปและซิลมาริลจะถูกนำกลับขึ้นมาโดย วาลาร์
จากนั้นเฟอานอร์จะถูกปล่อยตัวจากท้องพระโรงของมานดอส และมอบซิลมาริลแก่ ยาวันนา ยาวันนาจะทำลายมันและชุบชีวิตทวิพฤกษาขึ้นมาด้วยแสงของมัน เทือกเขา เพโลริ จะราบลงและแสงแห่งทวิพฤกษาจะทำให้โลกเต็มไปด้วยความสุขชั่วนิรันดร์
แสดงความคิดเห็น