ในขณะที่ชาวสหราชอาณาจักรโดยเฉพาะคนอังกฤษ กำลังมีความสุขจากการที่ราชวงศ์ Windsor ได้มีรัชทายาทลำดับที่สามเมื่อสองวันที่ผ่านมาโดยรัชทายาททรงมีพระนามว่า Prince George Alexander Louis หรือ Prince George Of Cambridge การประสูติของPrince George ได้สร้างความสุขส่วนใหญ่ให้แก่คนอังกฤษและคนในเครือจักรภพ รวมถึงคนที่ไม่ใช่คนในเครือจักรภพ แต่กล่าวโดยรวมแล้วคนในสหราชอาณาจักรกำลังมีความสุขมาก จากข่าวการประสูติของ Prince George of Cambridge
แต่มีบริษัทของสหราชอาณาจักรอยู่บริษัทหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทยาที่จัดว่าเป็นหนึ่งของบริษัทผลิตยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือบริษัท GlaxoSmithkline(กลาสโซสมิทไคลน์) ที่ทั่วโลกรู้จักกันดีที่ประธานบริหารของบริษัทกำลังปวดหัวกับการที่รัฐบาลกล่าวหาผู้บริหารระดับอาวุโสของบริษัท GlaxoSmithkline ที่ดำเนินภารกิจกับรัฐบาลจีนโดยทางจีนได้กล่าวว่า บริษัทฯ มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของจีนและรัฐบาลจีนเมื่อเดือนที่แล้วถึงกับได้สั่งให้ทำการกักขังบริเวณของผู้บริหารของบริษัท GlaxoSmithkline เพื่อทำการสอบสวนพฤติกรรมของผู้บริหารของบริษัทฯว่ามีการให้เงินกับหมอหรือเจ้าที่ของโรงพยาบาลที่มีอำนาจในการจัดซื้อยาให้กับโรงพยาบาลของจีน
คือกำลังถูกกล่าวหาว่า บริษัท GSK ไม่ได้ไปทำธุรกิจยาแต่กลับไปทำการ 'วางยา' สินค้าของตัวเองเพื่อจะครองตลาดยาของจีน
นี่ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่บริษัท GSK ถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่จีนในเรื่องดังกล่าวเพราะในปี 2012 บริษัทGSK ถูกศาลของสหรัฐฯตัดสินว่าบริษัทฯว่าจ้างแพทย์ในสหรัฐอเมริกาให้ทำการโปรโหมดสินค้ายาของบริษัทฯแบบเกินความจริง คล้ายๆกับพฤติกรรมที่บริษัท GSK ถูกรัฐบาลจีนกำลังกล่าวหาบริษัทฯอยู่ตอนนั้นบริษัท GSKต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินถึง 3 พันล้านดอลลาร์ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของบริษัทที่ผลิตยาที่ต้องจ่ายเงินสูงถึงขนาดนั้น
การ วางยา จากพฤติกรรมดังกล่าวจนทำให้บริษัทต้องตกเป็นข่าวอื้อฉาวอีกครั้ง และทั้งๆที่บริษัท GSK มีโครงการที่จะทำการร่วมทุนกับทางจีนในการตั้งโรงงานผลิตยาขนาดใหญ่ทำให้แผนโครงการดังกล่าว ต้องหยุดไปก่อนโดยปริยายซึ่งเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ต้องดูต่อไป เพราะตอนนี้ซีอีโอของ GSK ได้ว่าจ้างคณะไต่สวนหาข้อเท็จจริงอิสระให้ทำการสืบสาวเรื่องอื้อฉาวนี้อยู่ ว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร
พูดถึงบริษัทยาแล้ว ในประเทศไทยเราเองหรือย้อนไปเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว ไทยนำเข้ายาต่างประเทศคิดเป็นเงินแล้วอยู่ที่ 7,000 ล้านบาทแต่พอมาถึงปี 2554ไทยซื้อยาจากต่างประเทศคิดเป็นเงินอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท!
ว่ากันว่าสาเหตหลักๆมาจากการที่ทางรัฐบาลไทยไม่สนับสนุนการทำวิจัยในเรื่องการผลิตยาด้วยตนเอง โดยหันไปพึ่งยาจากต่างประเทศแทนและเมื่อการทำการวิจัย(R&D)ในด้านการค้นคว้าผลิตยาไม่ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐอย่างจริงจังเภสัชกรหรือนักวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญทางด้านยาก็หันไปทำการวิจัยในการผลิตอาหารทางด้านอาหารเสริมแทน หรือผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับความสวยความงามกับร่างกายเราจึงเห็นผลิตภัณฑ์ทางด้านการผลิตสินค้าทางด้านความสวยความงามอยู่กันเกร่อหน้าจอเวบไซด์มากมาย
อันนี้ไม่ใช่ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเท่านั้นเภสัชกรต่างประเทศ ก็หันไปให้การศึกษาผลิตสินค้าในด้านความสวยงามมากกว่าที่จะให้ความสนใจต่อการค้นคว้าผลิตยาที่ดีมีประสิทธิภาพกว่าเดิม
บริษัทยามักจะอ้างว่าสาเหตที่ยามีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ มาจากสาเหตการทำการ R&D ที่มีต้นทุนสูงมากแต่ก็ได้มีรายงานจากฝ่ายที่มองว่า ความจริงแล้ว บริษัทยาไม่ได้ทำการลงทุนในด้าน R&D อย่างจริงจังอะไรเลยส่วนใหญ่ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายหมดไปในการว่าจ้างพวกลอบบี้ยิสต์เพื่อทำการรณรงค์ให้นักการเมืองออกกฏหมายคุ้มครองสิทธิบัตรของสินค้าของพวกตนมากกว่า
และดูแล้ว ก็น่าจะเป็นจริงเพราะในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ตัวยาใหม่ๆที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่าของเดิมนั้นก็ไม่เห็นว่าได้ปรากฏขึ้นเลย ที่เห็นมากขึ้นก็คือยามีราคาแพงขึ้นแต่คุณภาพเหมือนเดิม มิหนำซ้ำ ยาที่กินเข้าไปกลับมีผลทางอ้อมไปทำลายตับไตไส้พุงเสียเป็นส่วนใหญ่ เวลากินเข้าไปก็ทำให้เกิดอาการท้องผูกอีกต่างๆ
ตอนเด็กๆผมเห็นคนไปหาหมอจากอาการโรคต่างๆพอแพทย์จ่ายยาเสร็จ ดูแล้วก็มียาแค่ถุงสองถุงเล็กๆเดี๋ยวนี้เห็นคนเวลากลับจากโรงพยาบาล ถุงยาที่ถือกลับมานั้น มีหลายถุงด้วยกันและในถุงก็มียาหลายขนานหลายสีด้วยกัน
แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นประจำก็คือ ยาจำพวกพาราเซทติมอล บางคนเรียกว่าเป็น พาราเซทติม่อน(คือกินมากๆเข้าไปมีความเสี่ยงสูงว่าจะม่องเท่ง) ก็ไม่รู้ว่าที่อ้างว่าบริษัทยาต้องคิดตัวยาในราคาที่แพง เพราะต้องลงทุนในด้าน R&D อย่างสูงนั้นทำไมคนถึงต้องกินยามากขึ้น ในราคาที่แพงขึ้นและยาก็มีคุณภาพไม่ต่างจากคุณภาพที่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าเราดูกราฟของบริษัทยาอย่างเช่นของบริษัท Pfizer, บริษัท Novartis, บริษัทSanofi รวมถึงบริษัทGSK เราจะพบว่าเส้นกราฟของบริษัทเหล่านี้มีแต่สูงขึ้น ก็แสดงว่ากำไรของบริษัทนั้น มหาศาลทีเดียว แล้วอ้างได้อย่างไรว่าต้นทุนในการทำการวิจัยนั้นสูงมาก ก็เลยทำให้ตัวยาต้องมีราคาสูงมาก
รายได้ของคนไทยถ้าเปรียบกับชาติตะวันตกที่ผูกขาดสินค้าจำพวกยาเรียกได้ว่ารายได้เราเทียบกับรายได้พวกเขาไม่ได้เลยแต่ประชาชนของเขาก็ยังไม่พอใจต่อราคาที่พวกเขาบ่นว่าแพงมากแล้วรายได้อย่างคนไทยเราจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยาแพงๆที่ผูกขาดจากบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ถ้าเกิดบริษัทเหล่านี้มีสิทธิบัตรในการผลิตยาแต่เพียงผู้เดียว
สมัยก่อน เราเคยคิดว่าการยึดครองประเทศอื่น ต้องใช้กำลังทหาร แต่ตอนหลังกระบวนทัศน์ได้เปลี่ยนไปว่าการครองประเทศนั้น ถ้าชาติใหญ่ สามารถยึดระบบการศึกษา ระบบการเงินก็สามารถทำให้ชาติใหญ่นั้นยึดครองชาติที่อ่อนแอกว่าได้โดยปริยายแต่กระบวนทัศน์ต่อไป น่าจะเป็นการเข้ายึดระบบเวชภัณฑ์คือการถือครองสิทธิบัตรยาของชาติใหญ่เหนือชาติเล็ก ที่ถ้าป่วยไข้แล้ว ไม่มียารักษาก็มีแต่ตาย
การแพทย์ทางเลือกใหม่หรือการดูแลสุขภาพโดยการเข้าหาวิถีธรรมชาติ ที่ 'ทางคุยทุกเรื่องกับสนธิ 'ได้เสนอทางเลือกนี้ออกมาเป็นระยะๆจากทางรายการและจากรายการอื่นๆของสถานีโทรทัศน์ ASTV ก็เป็นยุทธศาสาตร์ส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับอิทธิพลของการผูกขาดในเรื่องราคายาที่นอกจากอาจจะไม่ได้ทำให้ท่านดีขึ้นแล้ว สุขภาพของท่านอาจจะแย่ลงกว่าเดิมอีกด้วยและยังต้องควักกระเป๋าซื้อยาในราคาที่แพงมาก โดยประโยชน์ของผู้รับตัวจริงก็คือพวกลอบบี้ยิสต์ให้กับบริษัทยา
เพราะถ้าบริษัทเหล่านี้มั่นใจว่ายาที่พวกเขาผลิตนั้น มีคุณภาพดีเลิศ แล้วทำไมบริษัท GSK กำลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวและถูกกล่าวหาว่ามีการติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ของจีนเล่า?
http://www.topnews.in/china-releases-more-details-about-accusations-against-glaxosmithkline-2381918
แสดงความคิดเห็น